6.1 ความหมายของการประมวลผลข้อมูล
การประมวลผลข้อมูล หมายถึง
การจัดกระทำกับข้อมูลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความหมายและมีรูปแบบที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้
ซึ่งอาจอยู่ในรูปผลการสรุป ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล เรียกว่า ข้อสนเทศ (Information)
ข้อสนเทศที่ได้จากการประมวลผลแล้วอาจนำไปประมวลผลแล้วอาจนำไปประมวลต่ออีกชั้นหนึ่งก็ได้
ซึ่งการประมวลผลข้อมูลโดยทั่วไปมีข้อมูลดังนี้
ขั้นตอนของการประมวลผลข้อมูล
การประมวลผลข้อมูลเป็นการกระทำกับข้อมูลอย่างมีระบบ
ซึ่งสามารถจัดลำดับเป็นขั้นตอนได้ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมข้อมูลนำเข้า
ขั้นตอนที่ 2 การประมวลผล
ขั้นตอนที่ 3 การแสดงผลลัพธ์
ในและขั้นตอนในการประมวลผลนี้อาจประกอบไปด้วยวิธีกาต่างๆกัน
สำหรับงานประมวลผลแต่ละชนิด และขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้ประมวลผลด้วย
อาจสรุปวิธีการที่สำคัญของแต่ละขั้นตอนได้ดังต่อไปนี้
ตารางที่ 6.1
ขั้นตอนของการประมวลผลข้อมูล
การเตรียมข้อมูลนำเข้า
|
การประมวลผล
|
การแสดงผลลัพธ์
|
||
- การเก็บรวบรวมข้อมูล
- การเปลี่ยนสภาพข้อมูล
- การลงรหัส
- การบรรณาธิการ
- การเปลี่ยนรูปข้อมูล
ฯลฯ
|
- การค้นหาข้อมูล
- การเรียงลำดับข้อมูล
-
การเปรียบเทียบ
- การดึงข้อมูล
- การรวมข้อมูล
ฯลฯ
|
- แสดงในรูปตัวเลข
- แสดงในรูปของข้อความ
- แสดงในรูปตาราง
- แสดงในรูปรายงาน
- แสดงในรูปกราฟ
|
||
6.1.1 การเตรียมข้อมูลนำเข้า (Input Data)
การเตรียมข้อมูลนำเข้า (Input Data) เป็นงานขั้นแรกของการประมวลผลข้อมูล
เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
ซึ่งอาจดำเนินการตามลำดับต่อไปนี้
6.1.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ
อาจทำได้จากการสอบถาม การสังเกต การสำรวจ ซึ่งอาจจะเก็บข้อมูลจากตัวอย่าง (Sample) โดยจะมีวิธีการเลือกตัวอย่างที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ข้อมูลตัวอย่างที่เป็นตัวแทนปะชากรได้
การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆนั้นขึ้นอยู่กับระเบียบวิธีในการวิจัยและเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
นักวิจัยควรจะศึกษาลักษณะเฉพาะของเครื่องมือที่ใช้ รวมทั้งข้อดี ข้อเสีย
ขอบเขตจำกัด เครื่องมือที่ใช้มากในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม (Questionnaire)
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆมีหลายประเภท
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ในการทำวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลมีดังนี้
1. แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับทัศนคติ
ความคิดเห็น ความเข้าใจ ฯลฯ
แบบสอบถามเหมาะกับการวิจัยที่ต้องใช้ข้อมูลเป็นจำนวนมาก
2. แบบสังเกต (Observation) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยอาศัยประสารทสัมผัสโดยตรง
โดยผู้ถูกสังเกตจะไม่มีโอกาสรู้ตัว
3. แบบสัมภาษณ์ (Interview) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
โดยการเจรจาตอบโต้กันอย่างมีจุดมุ่งหมาย โดยผู้สัมภาษณ์จะเป็นผู้ป้อนคำถามให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เป็นคนตอบ
แบบสัมภาษณ์จะใช้กันมากในการวิจัยแบบสำรวจ
และเหมาะสำหรับงานวิจัยที่ต้องใช้จำนวนข้อมูลไม่มากนัก
4. แบบทดสอบ (Test) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมเกี่ยวสติปัญญา
ความถนัด การเรียนรู้ หรือใช้วัดความสามารถด้านต่างๆ
5. การศึกษารายกรณี (Case Study) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยทำเฉพาะบุคคล
หรือกลุ่มบุคคล เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรม
6.1.3 การเปลี่ยนสภาพข้อมูล (Data Conversion)
การเปลี่ยนสภาพข้อมูล เป็นการจัดเตรียมข้อมูลที่รวบรวมมาได้ แล้วให้อยู่ในรูปที่สามารถนำไปประมวลผลที่สะดวกยิ่งขึ้น
ซึ่งจะมีวิธีการต่างๆดังนี้
1. การลงรหัส (Coding) เป็นวิธีการที่เปลี่ยนรูปข้อมูลให้อยู่ในรูปที่กะทัดรัด
สะดวกต่อการจำแนกลักษณะข้อมูล
การลงรหัสเป็นวิธีการใช้รหัสเป็นวิธีการใช้รหัสแทนข้อมูล รหัสที่ใช้อาจจะเป็นตัวเลขตัวอักษรข้อความสั้นๆ
เช่น ข้อมูลจากแบบสอบถามได้ข้อมูลเพศเป็นเพศชายหญิง จะกำหนดรหัส 1
แทนคำตอบที่เป็นชาย รหัส 2 แทนคำตอบที่เป็นหญิง
ส่วนมากการลงรหัสมักจะใช้กับข้อมูลเชิงคุณภาพ
2. การบรรณาธิกร (Editing) เป็นวิธีการตรวจสอบข้อมูลที่ได้มามากกว่ามีความถูกต้องครบถ้วนเพียงใด
ซึ่งอาจจะเป็นการตรวจสอบต่อไปนี้
(1)ตรวจสอบความครบถ้วนของจำนวนตัวอย่างที่เก็บมา
งานวิจัยที่ดีต้องมีการวางแผนจำนวนล่วงหน้าว่าจำนวนตัวอย่างที่ต้องการเป็นเท่าไหร่
การตรวจสอบความครบถ้วนก็เป็นการตรวจสอบจำนนวนตัวอย่างมี่ได้มาว่าตรงกับจำนวนตัวอย่างที่กำหนดไว้หรือไม่
นอกจากนี้เป็นการป้องกันปัญหาข้อมูลซ้ำซ้อนที่ได้จากตัวอย่างตัวเดียวกัน
(2)
ตรวจสอบความครบถ้วนและชัดเจนของรายการในแต่ละตัวอย่าง เมื่อได้ตัวอย่างตามจำนวนครบถ้วนแล้วควรมีการตรวจสอบว่าในแต่ละตัวอย่างข้อมูลมาครบถ้วนทุกรายการหรือไม่
ถ้าใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูล
อาจตรวจสอบดูว่ารายการในแบบสอบถามตอบครบถ้วนทุกรายการหรือไม่
ซึ่งผู้ตรวจสอบต้องใช้ดุลพินิจว่าถ้าไม่ตอบหรือตอบตรงวัตถุประสงค์จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไรเพื่อให้รายการสมบูรณ์
นอกจากนี้จะเป็นการตรวจสอบความชัดเจนของข้อมูล เช่น ตรวจสอบตัวเลข 1 หรือ 7
การบันทึกหน่วย เป็นต้น
(3)
ตรวจสอบความสัมพันธ์และความเป็นไปได้ของรายการ การตรวจสอบขั้นนี้จะต้องพิจารณาข้อมูลที่ได้มาแต่ละรายการที่มีความสัมพันธ์กันมีความเป็นไปได้หรือไม่
เช่น แบบสอบถามมีรายการถามอายุ อายุบุตรคนสุดท้อง ถ้าผู้ตอบอายุ 17
แต่ตอบอายุบุตรคนสุดท้อง 26 ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้
ซึ่งการตรวจสอบจะต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร
3. การเปลี่ยนรูปข้อมูล
เป็นวิธีการที่จะเปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ในรูปที่สะดวกต่อวิธีการนำไปประมวลผล
เพราะบางครั้งเครื่องมือที่ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น แบบสอบถาม แบบสังเกต
แบบสัมภาษณ์ที่เหมาะจะนำไปประมวลผลโดยตรง
อาจเปลี่ยนรูปข้อมูลจากเครื่องมือดังกล่าวให้อยู่ในรูปสะดวกต่อการประมวลผล
6.2 ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูล
การประมวลผลข้อมูล (Data Processing) เป็นขั้นตอนที่จะนำข้อมูลซึ่งเตรียมไว้แล้วมาทำการประมวล
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่อยู่ในรูปของข้อสนเทศ
ซึ่งการประมวลผลอาจเป็นการจัดกระทำข้อมูลโดยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีดังต่อไปนี้
6.2.1 การเรียงลำดับข้อมูล
การเรียงลำดับข้อมูลอาจมีการเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยหรือน้อยไปหามาก
หรือถ้าข้อมูลที่เป็นข้อความ เช่น ชื่อ อาจเรียงตามอักษร
6.2.2 การดึงข้อมูล
การดึงข้อมูลเป็นการค้นหาข้อมูลตามต้องการ เช่น ค้นหาข้อมูลที่ตรงตามเงื่อนไขที่กำหนด
6.2.3 การรวบรวมข้อมูล
การรวบรวมข้อมูลเป็นการวบรวมข้อมูลหลายชุดเข้าด้วยกันหรือรวมเฉพาะข้อมูลที่มีรายการเหมือนกัน
6.2.4 การคำนวณและเปรียบเทียบ
การคำนวณและเปรียบเทียบอาจมีการคำนวณแบบธรรมดา คือ บวก ลบ คูณ หาร ยกกำลัง
หรือคำนวณหาค่าทางสถิติ เช่น ค่าเฉลี่ย ฐานนิยม
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ฯลฯ
6.2.5 แสดงผลลัพธ์ (Output Data)
แสดงผลลัพธ์ (Output Data) เป็นขั้นตอนสุดท้าย
หลังจากได้ข้อสนเทศจากการประมวลผลผู้วิจัยอาจนำข้อมูลสนเทศมาเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
เช่น อาจนำเสนอในรูปบทความ ตาราง กราฟ แผนภูมิ ฯลฯ
ข้อสนเทศที่ได้จากการประมวลผลอาจนำไปใช้เป็นข้อมูลในการประมวลผลในเรื่องอื่นๆอีก
จากตัวอย่างเลขประจำตัวค่าได้เป็นเลข 3 หลัก จึงกำหนอชิ่งสี่เหลี่ยมไว้
3 ช่อง เพศมีค่าได้เป็น 1 เลขหลัก จึงกำหนดช่องสี่เหลี่ยมไว้ 1 ช่อง
อายุมีค่าเป็นไปได้สูง 2 หลัก จึงกำหนดชิองสี่เหลี่ยมไว้ 2 ช่อง
6.3 กระบวนการวบรวมข้อมูล
การนำข้อมูลมาวิเคราะห์นั้น อาจเป็นไปได้ทั้งข้อมูลปฐมภูมิ
ข้อมูลทุติยภูมิ ข้อมูลเชิงคุณภาพหรือข้อมูลเชิงปริมาณ ในกรณีที่ต้องการข้อมูลประเภทปฐมภูมิ
ผู้ใช้งานจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลขึ้นมา
ซึ่งแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูลสามารถแบ่งออกได้เป็นดังนี้
6.3.1 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากงานทะเบียนหรือการบันทึก
ในปัจจุบันนี้องค์กรต่างๆทั้งรัฐบาลและเอกชนมีการจดบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เช่น โรงพยาบาลจะมีการจดบันทึกผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา โดยระบุ เพศ อายุ
ชนิดของโรค กลุ่มเลือด เป็นต้น
โรงงานที่ผลิตสินค้าจะมีการจดจำนวนสินค้าผลิตได้ในแต่ละวัน
ห้างสรรพสินค้าจะจดบันทึกยอดขายของสินค้าในแต่ละแผนกทุกวัน
หรือกรมศุลกากรจะจดบันทึกรายการสินค้าที่ส่งออกทุกวัน ดังนั้น
ผู้ใช้จะต้องคัดลอกแล้วนำมาจัดหมวดหมู่ที่ต้องการ
วิธีนี้เป็นวิธีที่ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
ข้อมูลประเภทนี้จึงนับเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก
6.3.2 การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสำรวจ
การเก็บข้อมูลโดยการสำรวจ เป็นการเก็บข้อมูลจาหน่วยที่สนใจโดยรง เช่น
สนใจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน หน่วยที่สนใจศึกษาคือ
ประชาชนคนไทยทุกคน การสำรวจในเรื่องนี้คือการสอบถามความคิดเห็น
สำหรับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การสัมภาษณ์ โทรศัพท์
สังเกตการณ์ การวัดค่า เป็นต้น ซึ่งได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไป
การเก็บข้อมูลโดยการสำรวจจะต้องมีกรอบัวอย่าง (Sampling
Frame) คือรายชื่อของทุกหน่วยในประชากรสนใจที่ศึกษา
ซึ่งรายชื่อดังกล่าวนี้จะได้จากนายทะเบียนของหน่วยงานต่างๆ เช่น
ถ้าต้องการทราบความคิดเห็นของชาวกรุงเทพฯที่มีต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน
กรอบตัวอย่างคือ รายชื่อของคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ
โดยได้จากที่ทำการเขตต่างๆภายในกรุงเทพฯ
ซึ่งเป็นวิธีการที่ค่อนข้างสิ้นเปลืองเวลาและต้องมีค่าใช้จ่ายสูง
โดยกรอบตัวอย่างที่ดีจะต้องประกอบด้วยรายชื่อพร้อมทั้งที่อยู่ที่ต้องการศึกษาครบถ้วนไม่ซ้ำซ้อนและทันสมัย
การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสำรวจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. การสำมะโน (Census) หมายถึง
การเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุกๆหน่วยในประชากรที่ศึกษา เช่น
สนใจหารายได้เฉลี่ยของคนกรุงเทพฯประชากรจะหมายถึง คนกรุงเทพฯทุกคน
โดยจะต้องมีกรอบตัวอย่างซึ่งเป็นรายชื่อพร้อมที่อยู่ของคนกรุงเทพฯจึงต้องไปสอบถามคนกรุงเทพทุกคนเกี่ยวกับรายได้
ซึ่งจะทำให้เสียเวลาค่าใช้จ่ายสูง และอาจได้ข้อมูลที่ล้าสมัย
เนื่องจากสอบถามครบทุกคนปรากฏว่ารายได้ของคนกลุ่มแรกที่สอบถามอาจเปลี่ยนไป
ดังนั้นจึงไม่นิยมใช้วิธีนี้ ยกเว้นเรื่องที่สนใจจะศึกษาจะมีประชากรขนาดเล็ก
การสำมะโนมีทั้งข้อดี และข้อด้อยดังตารางที่ 6.3
ตารางที่ 6.2
ข้อดีและข้อด้อยของการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสำมะโน
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
ได้ข้อมูลครบถ้วนจากทุกหน่วยในประชากร
|
1. เสียเวลาและค่าใช้จ่ายมาก
2. ได้ผลช้าไม่ทันต่อความต้องการ
3. งานมาก การวบคุมทำได้ยาก
อาจมีผลต่อคุณภาพของข้อมูล
|
2. การสำรวจด้วยตัวอย่าง (Sampling Survey) หมายถึง
การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเพียงบางหน่วยของประชากรจึงเป็นการประหยัดทังเวลาและค่าใช้จ่าย
คำว่า ตัวแทนที่ดี หมายถึง ตัวอย่างที่ถูกเลือกมาควรจะประกอบไปด้วยลักษณะต่างๆ
ของประชากรครบถ้วน อย่างไรก็ตามข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลตัวอย่างเท่านั้น
จึงจะต้องอ้างอิงถึงประชากรโดยใช้วิธีการทางสถิติ
การสำรวจด้วยตัวอย่างมีทั้งข้อดีและข้อด้อย ดังนี้
ตารางที่ 6.3 ข้อดีและข้อด้อยของการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสำรวจด้วยตัวอย่าง
ข้อดี
|
ข้อด้อย
|
1. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
2. ได้ผลการสำรวจเร็ว
3. ข้อมูลจะมีคุณภาพดี
เนื่องจากปริมาณงานน้อย จึงสามารถคุมงานได้ทั่วถึง
|
1. ความคลาดเคลื่อนในการสุ่มตัวอย่าง
2. ขนาดตัวอย่างน้อยเกินไปจะทำให้ข้อมูลตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร
|
6.3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการทดลอง
บางครั้งเรื่องที่สนใจจะศึกษาไม่สามารถทำการสำรวจได้
แต่จะต้องเก็บข้อมูลโดยทำการทดลองเช่น เปรียบเทียบผลผลิตจากข้าว 4 พันธุ์ เป็นต้น
การเก็บรวบรวมข้อมูลจะต้องสร้างแบบแผนการทดลองเพื่อให้สามารถกำจัดหรือแยกอิทธิพลของปัจจัยอื่นๆออกจากข้อมูลที่ทำการศึกษา
เช่น การเปรียบเทียบผลผลิตพันธุ์ข้าว 4 ชนิด
จะพบได้ว่าผลผลิตพันธ์ข้าวอาจขึ้นอยู่กับชนิดของพันธุ์ ปริมาณน้ำ แสงแดด
ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ถ้าผู้ทดลองเก็บรวบรวมข้อมูลผลผลิตข้าวแต่ละพันธุ์
โดยไม่พิจารณาถึงความแตกต่างของปัจจัยอื่นๆที่มีอิทธิพลต่อผลผลิตข้าว อาจทำให้ไม่สามารถสรุปผลว่าข้าวทั้ง 4 พันธุ์ มีความแตกต่างกันหรือไม่
ดังนั้นก่อนทำการทดลองปลูกข้าวจะต้องวางแผนการทดลองมาก่อน
โดยแผนการทดลองนั้นต้องสามารถกำจัดอิทธิพลของปัจจัยอื่นๆออกไปได้
6.4 การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
หลังจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ
การตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาความผิดปกติของข้อมูลบางตัวก่อนทำการวิเคราะห์ข้อมูล
กระบวนการนี้อาจต้องอาศัยบุคคลและเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกันเพื่อลดความผิดพลาด
ซึ่งข้อควรปฏิบัติในการตรวจสอบข้อมูลสามารถทำได้ดังนี้
6.4.1
Field Edit เป็นการตรวจสอบข้อมูลในขณะเวลาเดียวกันกับการดำเนินการสอบถามกลุ่ม
ตัวอย่าง เช่น
ผู้สัมภาษณ์ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้รับจากตัวอย่างในเวลาเดียวกันกับการสอบถาม
ถ้าพบว่ายังมีคำตอบส่วนไหนที่ยังไม่สำบูรณ์ก็ให้รีบดำเนินการแก้ไขเสียในเวลานั้น
ซึ่งการตรวจสอบลักษณะนี้เป็นการตรวจสอบในขณะปฏิบัติการจริง
6.4.2
Central Office Edit เป็นการตรวจสอบข้อมูลภายหลังจากการได้รับแบบสอบถามทั้งหมดกลับคืนมาแล้ว
โดยนำแบบสอบถามทั้งหมดที่ได้รับมาตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง
เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่แบบสอบถามบางชุดอาจจะมีคำตอบที่ไม่สมบูรณ์
หรือการจดคำตอบของผู้สัมภาษณ์ไม่ชัดเจนในกรณีที่มีการสัมภาษณ์ส่วนตัวหรือลักษณะคำถามที่เป็นแบบเปิดยังไม่ถูกต้อง
กรณีนี้จะต้องตรวจสอบเพื่อดำเนินการแก้ไข ซึ่งบางครั้งตองดำเนินการสัมภาษณ์ใหม่
หรือคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบใหม่
ในบางกรณีที่พบว่าข้อมูลในแบบสอบถามบางชุดมีค่าที่สูงหรือต่ำกว่าค่าปกติทั่วไป
จะต้องใช้วิจารณญาณตัดสินได้ว่าค่าที่ได้รับสูงหรือต่ำผิดปกติเหล่านั้นจะนำมาวิเคราะห์ด้วยหรือไม่
การตัดสินใจส่วนตัวหรืออคติต่อคำตอบที่ได้รับ
ในการตรวจสอบความถูกต้องของแบบสอบถามสามารถสรุปเป็นวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ 5 ประการ คือ
1. ความถูกต้อง (Legibility) ในการเดินการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น
ข้อมูลต้องมีความถูกต้อง ถ้าข้อมูลใดพบว่าไม่มีความชัดเจน
จะต้องติดต่อกับผู้ให้สัมภาษณ์เพื่อยืนยันการลงบันทึกข้อมูล ถ้าพบข้อมูลที่ได้รับมาผิดพลาดคลานเคลื่อน
คำตอบที่ได้รับควรลงรหัสเป็น Missing Data ดังนั้นข้อมูลใดๆไม่มีความชัดเจนก็จะถูกคัดออกไป
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ลงรหัสสามารถลงรหัสข้อมูลได้โดยปราศจากความลังเลใดๆ
2. ความสมบูรณ์ (Completeness) การตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลที่ได้รับเป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญประการหนึ่งของการตรวจสอบ
ซึ่งจะต้องติดต่อกับผู้ดำเนินการเก็บข้อมูล
หรือผู้สัมภาษณ์เพื่อตรวจสอบยืนยันรายงาน หรือการลงบันทึกข้อมูลอีกครั้ง
หรือาจต้องกลับไปสัมภาษณ์หรือเก็บข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์นั้นใหม่จากผู้ตอบคนเดิม
ถ้าสามารถทำได้ แต่ถ้าไม่สามารถติดตามได้อาจให้ผู้ลงรหัสกำหนดรหัส Missing
Data สำหรับข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์นั้น
หรือคัดแบบสอบถามุดนั้นออกไปจากการวิเคราะห์ข้อมูล หรือเก็บข้อมูลใหม่
3. ความสอดคล้อง (Consistency) เป็นการตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืน
ไม่ขัดแย้งกันเองของข้อมูลที่ได้รับกลับคืนมา
การตรวจสอบความสอดคล้องของคำตอบทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลนั้นมีความถูกต้อง
ถ้าเห็นว่าเกิดความไม่สอดคล้องกันของข้อมูลต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการคัดแบบสอบถามชุดนั้นออกไปหรือลงรหัสเป็น Missing
Data
4. ความเที่ยงตรง (Accuracy) เป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญประการหนึ่งของการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
ซึ่งต้องสังเกตรูปแบบการตอบของผู้ตอบคำถาม เช่น การตอบคำถามข้อที่ 1 สลับกันกับข้อที่ 3 ข้อมูลลักษณะนี้ถือว่าเกิดความไม่เที่ยงตรง
ถ้าพบแบบสอบถามลักษณะนี้ควรจะคัดแบบสอบถามชุดนั้นออก
5. การได้รับคำตอบที่ชัดเจน (Response Clarification) สำหรับการตอบแบบสอบถามที่มีลักษณะปลายเปิด
ผู้ลงรหัสอาจเกิดความยุ่งยากในการลงรหัส
เพราะการบันทึกหรือการเขียนคำตอบไม่ชัดเจนเพียงพอ คำตอบที่ได้รับสั้นเกินไปจึงไม่สามารถให้ความหมายได้
หรือคำตอบกำกวม การแก้ไข คือ
ต้องสอบถามผู้ดำเนินการสัมภาษณ์ว่าประโยคที่ลงบันทึกข้อมูลที่ไม่ชัดเจนนั้นมีความหมายว่าอย่างไร
ซึ่งวิธีการทำงานที่ถูกต้อง คือ
ต้องฝึกฝนหรือให้การอบรมผู้สัมภาษณ์ก่อนที่จะส่งออกไปสัมภาษณ์จริง
และเน้นให้ทราบถึงความสำคัญของการบันทึกข้อมูลที่ต้องมีความชัดเจน
เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความยุ่งยากในการให้ความหมายและการลงรหัสต่อไป
6.5 การจัดเตรียมข้อมูล
ก่อนการวิเคราะห์ข้อมูลจะต้องทำการบันทึกข้อมูล
ซึ่งสามารถดำเนินการได้หลายวิธี เช่น ทำการบันทึกข้อมูลลงในโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติที่ทำการวิเคราะห์โดยตรงหรือทำการบันทึกด้วยโปรแกรมอื่นๆแล้วจึงนำไปวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมรูปทางสถิติ
ในการบันทึกข้อมูลหรือการสร้างไฟล์ข้อมูลควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
6.5.1 ประเภทของไฟล์ข้อมูล
ไฟล์ข้อมูลที่สร้างจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ไฟล์ข้อมูลแบบเท็กซ์และไฟล์ข้อมูลเฉพาะโปรแกรม มีดังนี้
1. ไฟล์ข้อมูลแบบเท็กซ์ (Text File) เป็นไฟล์ข้อมูลที่ประกอบด้วยสัญลักษณ์ที่สามารถอ่านเข้าใจได้
อาจเป็นตัวเลขหรือตัวอักษร ไฟล์ประเภทนี้ส่วนใหญ่สร้างมาจากโปรแกรม Editor
2. ไฟล์ข้อมูลเฉพาะโปรแกรม (Non-Text File) เป็นไฟล์ข้อมูลที่ประกอบด้วยสัญลักษณ์ที่มนุษย์ไม่สามารถอ่านเข้าใจ
เป็นสัญลักษณ์ที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ง่าย เช่น ไฟล์ที่สร้างมาจากโปรแกรม MS
Word หรือ Excel
6.5.2 ประเภทของโปรแกรมที่ใช้สร้างไฟล์ข้อมูล
โปรแกรมที่ใช้สร้างไฟล์ข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. โปรแกรมที่เขียนขึ้นเอง (User Programming) เป็นโปรแกรมประเภทที่ต้องอาศัยความรู้ทางคอมพิวเตอร์
โดยเฉพาะภาษาทางคอมพิวเตอร์เพื่อใช้เขียนโปรแกรมสำหรับป้อนข้อมูลโดยเฉพาะ
2. โปรแกรมสำเร็จรูป (Package Program) เป็นโปรแกรมที่มีผู้จัดสร้างขึ้นมาแล้วและมีใช้งานกันอย่างแพร่หลาย
โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม
เพียงแต่เรียนรู้วิธีการใช้งานโปรแกรมเท่านั้น ซึ่งโปรแกรมสำเร็จรูปนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
(1) โปรแกรมสำหรับงานพิมพ์ เช่น MS Word ซึ่งผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลตามตำแหน่งต่างๆที่กำหนดไว้ในคู่มือลงรหัส
(2) โปรแกรมสำหรับจัดการฐานข้อมูล เช่น MS Access โดยผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลและบันทึกข้อมูลในรูปของไฟล์ที่จัดเตรียมไว้โดยกำหนดว่าข้อมูล 1 ชุดหมายถึง 1 เรคอร์ดและชื่อฟิลด์ หมายถึง
ชื่อตัวแปร
(3) โปรแกรมสำหรับคำนวณหรือโปรแกรมสำหรับทำการ เช่น MS
Excel เป็นโปรแกรมที่มีความสะดวกมากที่สุดในการป้อนข้อมูล
(4) โปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับป้อนข้อมูลโดยเฉพาะ
เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปทางด้านสถิติ เช่น โปรแกรม SPSS และโปรแกรม PSBB เป็นต้น
6.5.3 การเลือกใช้โปรแกรมสร้างไฟล์ข้อมูล
การเลือกใช้โปรแกรมสร้างไฟล์ข้อมูล
ผู้ใช้ต้องคำนึงถึงโปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติว่าสามารถอ่านไฟล์ประเภทใดได้บ้าง
ซึ่งโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติมีการพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถอ่านไฟล์ข้อมูลได้หลายประเภท
ทั้งไฟล์ข้อมูลแบบเท็กซ์และไฟล์โปรแกรมเฉพาะโปรแกรม
ตารางที่ 6.4 การใช้โปรแกรมสร้างไฟล์ข้อมูล “ตัวอย่างแบบสอบถาม”
ตัวอย่างแบบสอบถาม
|
|
ส่วนที่ 1 ประวัติส่วนตัว
1.เลขประจำตัว............................
2.เพศ
1.ชาย 2.หญิง
3.อายุ....................ปี
|
เฉพาะเจ้าหน้าที่
ID
SEX
AGE
|
จากตัวอย่าง เลขประจำตัวมีค่าได้เป็นเลข 3 หลัก จึงกำหนดช่องสี่เหลี่ยมไว้ 3 ช่อง
เพศมีค่าได้เป็นเลข 1 หลัก
จึงกำหนดช่องสี่เหลี่ยมไว้ 1 ช่อง
อายุมีความเป็นไปได้สูง 2 หลัก
จึงกำหนดช่องสี่เหลี่ยมไว้ 2 ช่อง
ตัวอย่างของข้อมูลจากแบบสอบถาม
ID
SEX AGE
001
1 23
002
1
35
003
2
21
004
1
25
005
1
28
006
2
24
007
2
30
008
2 32
009
1
30
010
1
26